วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2551

พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งของกระทรวงพาณิชย์

ครม.ตีกลับร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งของกระทรวงพาณิชย์ ทำให้เกิดคำถามที่สำคัญขึ้น คือ ปัญหาที่แท้จริงของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้คืออะไร และมีผู้ประกอบการรายใหญ่ขัดขวางการออกร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จริงหรือไม่

สำหรับคำถามแรก ปัญหาที่ทำให้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ตีกลับ เมื่อพิจารณาตามข้อสังเกตของครม.แล้วจะพบว่ามีสาเหตุที่สำคัญ 3 ประการ คือ 1. อำนาจของคณะกรรมการกลางกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง (กกต.)มีอำนาจมากเกินไป 2. สาระของร่าง พ.ร.บ.นี้ไม่ช่วยแก้ปัญหาให้แก่โชวห่วยได้อย่างแท้จริง และ 3. ผู้บริโภคไม่ได้รับผลประโยชน์ ซึ่งเหตุผลทั้ง 3 ข้อนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เนื่องจากแรกเริ่มเดิมทีนั้นกรมการค้าภายในได้ประกาศถึงสาเหตุที่ทำให้ต้องมี พ.ร.บ.ฉบับนี้ขึ้นมาเพื่อปกป้องโชวห่วยของไทยให้อยู่รอดได้ โดยใช้หลักการสำคัญ คือ ปิดกั้นการขยายตัวของร้านค้าปลีกสมัยใหม่หรือโมเดิร์นเทรดเสีย
ในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้บัญญัติในเรื่องของอำนาจ กกค.ไว้ในมาตรา 7-20 โดยระบุถึงโครงสร้าง กกค.และอำนาจหน้าที่ ประเด็นที่เป็นปัญหา คือ โครงสร้างของ กกค.ที่คณะกรรมการยกร่างระบุให้ผู้แทนจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสมาคมผู้ผลิต ขณะที่การให้ข่าวทางกรมการค้าภายในจะนำเสนอตลอดเวลาว่า โครงสร้างของ กกค.นั้น เป็นไปเพื่อปลอดการแทรกแซงของนักการเมือง แต่ไม่เคยเอ่ยถึงการหมกเม็ดด้วยการเอาตัวแทนของผุ้ผลิตมาไว้ใน กกค.เลย ซึ่งเมื่อรวมกับอำนาจที่ กกค.มีอย่างมหาศาลในมือแล้ว จะส่งผลให้ผู้ผลิตสามารถคุมตลาด และราคาสินค้าได้อย่างเบ็ดเสร็จ ด้วยการมีอำนาจกำหนดว่า ร้านโมเดิร์นเทรดจะเปิดที่ไหนได้หรือไม่ได้ ซึ่งแทนที่จะเป็นการช่วยโชวห่วยตามที่กล่าวอ้าง แต่กลับจะเป็นการซ้ำเติมโชวห่วยให้ตกอยู่ใต้อิทธิพลของซัปพลายเออร์มากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ การอ้างความอยู่รอดของโชวห่วยไทยว่าขึ้นอยู่กับการมีอยู่ของโมเดิร์นเทรดคือ ความผิดพลาดที่สำคัญของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เพราะกระบวนการที่สร้างขึ้นตั้งแต่การเข้ามาร้องเรียนของกลุ่มม็อบที่อ้างตัวว่าเป็นผู้แทนของโชวห่วย ทั้งๆ ที่ผู้นำขบวน คือ ผู้ประกอบธุรกิจค้าส่งหรือยี่ปั๊วขนาดใหญ่ของภาคกลางและภาคอีสาน ที่มีกิจการค้าส่งสินค้าครอบคลุมพื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งของอีสานตอนล่าง รวมทั้งการจัดม็อบเข้ามากดดันกระทรวงพาณิชย์หลายต่อหลายครั้งว่าโชวห่วยทั้งหมดจะต้องปิดกิจการลง หากไม่ออกกฎหมายมาควบคุมโมเดิร์นเทรด

แต่จากการศึกษากระบวนการทำธุรกิจค้าปลีกค้าส่งของไทยในปัจจุบัน(จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า ในความเป็นจริงแล้ว ในเครือข่ายธุรกิจค้าปลีกค้าส่งของไทย ไม่ได้มีความขัดแย้งที่รุนแรงเลย เนื่องจากกระบวนการค้าปลีกค้าส่งของไทยนั้น เริ่มจากผู้ผลิตส่งสินค้าให้กับซัปพลายเออร์ จากนั้นจึงส่งผ่านสู่ผู้ค้าส่งรายใหญ่หรือยี่ปั๊ว ก่อนที่ร้านค้าส่งขนาดเล็กหรือโชวห่วยจะมารับสินค้าไปอีกทอดหนึ่ง แต่เมื่อมีร้านโมเดิร์นเทรดเข้ามาในประเทศไทย เมื่อปี 2540 เพื่อแก้วิกฤตเศรษฐกิจในช่วงนั้น ระบบการไหลเวียนของสินค้าก็เปลี่ยนไป เพราะร้านโมเดิร์นเทรดเป็นผู้สั่งสินค้าจากซัปพลายเออร์โดยตรง ซึ่งจำนวนที่สั่งมากขึ้นเท่าไร อำนาจการต่อรองราคาก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย และสินค้าจะถึงมือผู้บริโภคโดยตรงโดยไม่ผ่านยี่ปั๊ว ซาปั๊ว ทำให้ราคาสินค้าลดลงโดยปริยาย ซึ่งจากระบบที่ว่านี้ ทำให้สังคมทั่วไปเข้าใจว่าเมื่อมีโมเดิร์นเทรดเข้ามาในไทย โดยเฉพาะเมื่อขยายสาขามากๆ จะทำให้ยี่ปั๊วและโชวห่วยต้องล้มหายตายจากไป เพราะโมเดิร์นเทรดสั่งสินค้าจากซัปพลายเออร์โดยตรง และเป็นที่มาของข้ออ้างของกรมการค้าภายในในการผลักดันให้มีร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ขึ้นเพื่อควบคุมการขยายสาขาของโมเดิร์นเทรดอย่างเด็ดขาด แต่จากการศึกษาของจุฬาลงกรณ์ครั้งนี้พบว่าข้อเท็จจริงแล้ว ร้านโมเดิร์นเทรดและยี่ปั๊วรวมทั้งโชวห่วย ต่างได้ประโยชน์จากโมเดิร์นเทรดทั้งสิ้น กล่าวคือ ในการค้าที่เป็นจริงยี่ปั๊วหรือโชวห่วยไม่ได้สั่งสินค้าจากซัปพลายเออร์เพียงอย่างเดียว แต่ยี่ปั๊ว หรือโชวห่วย จะรับสินค้าจากโมเดิร์นเทรดมาจำหน่ายด้วย เนื่องจากส่วนต่างของราคาที่สามารถทำกำไรได้ ซึ่งผู้ค้าที่ทำหน้าที่สั่งสินค้าจากโมเดิร์นเทรดเพื่อไปจำหน่ายให้กับยี่ปั๊วหรือโชวห่วยนี้ ในวงการค้าปลีกจะเรียกว่า "มือปืน" ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความขัดแย้งระหว่างโมเดิร์นเทรดกับยี่ปั๊วหรือโชวห่วยไม่ได้รุนแรงอย่างที่ถูกวาดภาพเอาไว้เพราะทั้ง 2 ฝ่ายสามารถแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันได้
แต่ผู้ที่เสียผลประโยชน์มากที่สุดในกระบวนการค้าปลีกยุคปัจจุบัน คือ ซัปพลายเออร์ที่ต้องสูญเสียอำนาจต่อรองในตลาดไป เพราะผู้สั่งซื้อสินค้าหลักคือโมเดิร์นเทรด มีความสามารถในการสั่งซื้อสินค้าได้จำนวนมาก ทำให้อำนาจในการต่อรองยิ่งสูงขึ้นมาก และสินค้าจะยิ่งถูกลง

นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำไมต้องมีการผลักดันให้รัฐบาลออกกฎหมายเพื่อควบคุมการขยายสาขาของโมเดิร์นเทรด เพราะยิ่งมีสาขามาก ยิ่งทำให้อำนาจในการสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น ในทางกลับกันก็ยิ่งทำให้อำนาจในการกำหนดราคาสินค้าของซัปพลายเออร์ลดลงเช่นเดียวกัน ขณะที่ยี่ปั๊วหรือโชวห่วย ที่ทำธุรกิจโดยอาศัย "มือปืน" ก็ต้องย้อนกลับไปหาซัปพลายเออร์เหมือนเดิม หากการจำกัดการขยายตัวของโมเดิร์นเทรดทำได้จริง และเมื่อนั้น อำนาจต่อรองในการกำหนดราคาสินค้าในตลาดของซัปพลายเออร์ก็กลับมาเหมือนเดิม และผลที่จะตามมาเมื่อซัปพลายเออร์มีอำนาจเหนือตลาดก็คือ สินค้าขาดตลาด เพื่อบีบให้รัฐบาลอนุมัติให้ขึ้นราคาสินค้าที่จำเป็นอยู่เสมอ
และเมื่อเจตนารมณ์ของร่างพ.ร.บ.ผิดเพี้ยนไปตั้งแต่ต้นแล้ว ทใหบทบัญญัติต่างๆ ที่มีอยู่ในร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่สามารถตอบปัญหาที่ต้องการแก้ไขได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโชวห่วยให้มีศักยภาพในการแข่งขันเพิ่มขึ้น เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้อยู่ที่การจำกัดขนาดของโมเดิร์นเทรด เพื่อให้ซัปพลายเออร์กลับมามีอำนาจเหนือตลาดเช่นเดิม ทำให้ไม่เห็นความสำคัญอย่างจริงจังในการพัฒนาโชวห่วย เพราะเป้าหมายหลักก็คือใช้โชวห่วยเป็นทั้งเครื่องมือและเหยื่อของการครองอำนาจเหนือตลาดนั่นเอง

ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งของ ครม. คือผู้บริโภคได้ประโยชน์อะไรกับร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ การตอบคำถามนี้อยู่ที่การหาความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค หรือศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบัน ซึ่งประเด็นนี้ ดร.อัทธิ พิศาลวณิช นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ให้คำตอบไว้แล้วว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว การที่โมเดิร์นเทรดได้รับความนิยม เพราะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ เช่น ความสะดวกในการเดินทาง ที่จอดรถ จำนวนสินค้าที่มีให้เลือกหลากหลาย ราคาสินค้าที่เหมาะสม และสะดวกในการซื้อสินค้าครั้งละจำนวนมาก ปัจจัยเหล่านี้ ร้านโชวห่วยทั่วไปไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในลักษณะนี้ได้ ดังนั้นแท้ที่จริงแล้ว ผู้บริโภคที่เข้าร้านโมเดิร์นเทรดกับผู้บริโภคที่เข้าร้านโชวห่วย จะเป็นผู้บริโภคคนละกลุ่มกัน หรือหากเป็นกลุ่มเดียวกัน ก็มีเป้าประสงค์ที่ต่างกัน เพราะลักษระของร้านไม่สามารถทดแทนกันได้ ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะมีกฎหมายที่เข้มงวดที่สุด จนทำให้โมเดิร์นเทรดไม่สามารถประกอบธุรกิจอยู่ได้ ต้องล้มหายตายจากไปหมด ก้ไม่ได้หมายความว่าผู้บริโภคจะหันหลังกลับไปซื้อของที่โชวห่วยทั้งหมด เพราะรูปแบบของร้านโชวห่วยไม่สามารถตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันได้นั่นเอง ทางออกที่ดีที่สุด คือ ร้านโชวห่วยต้องพัฒนาตัวเองให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคด้วย
และในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบันนั้น ส่งที่ต้องตระหนัก คือธุรกิจโมเดิร์นเทรดนั้น มีสัดส่วนถึง 14% ของ GDP ของประเทศ และมีการจ้างงานถึง 15% ของการจ้างงานทั้งหมด หรือก่อให้เกิดการจ้างงานถึง 350,000 คน รวมทั้งในระบบการค้าของโมเดิร์นเทรดนั้นคู่ค้าหรือผู้ส่งสินค้าเข้ามาจำหน่ายมีนวนมากถึง 12,000 ราย และกว่าครึ่งในนั้นคือ SME นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องการลดค่าครองชีพให้แก่ผู้บริโภค และลดเงินเฟ้ออีกด้วย
สิ่งที่ต้องตระหนัก คือ ขณะนี้บรรยากาศทางเศรษฐกิจของไทยอยู่ในสภาพที่ไม่มีการลงทุน ทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่น ส่งออกไม่ได้ และรัฐพลาดเป้าการเก็บภาษี เพราะการบริโภคลดน้อยลง หากรัฐบาลออก พ.ร.บ.มาในตอนนี้ก็จะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อ GDP และภาคธุรกิจค้าปลีกค้าส่งทั้งภาค เพราะถ้าโมเดิร์นเทรดลงทุนขยายสาขาไม่ได้ ก็จะไม่มีการลงทุนภาคธุรกิจ ไม่มีการจ้างงานเพิ่ม ไม่มีการลงทุนเพิ่มจาก SME ต่างๆ ที่เป็นซัปพลายเออร์ ไม่มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เพราะผู้บริโภคที่ใช้จ่ายน้อยลงอยู่แล้ว ถูกจำกัดการใช้จ่ายมากขึ้น ค่าครองชีพและอัตราเงินเฟ้อก็จะเพิ่มสูงขึ้น
ทางออกของร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ คือ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จะต้องยอมรับความจริงของระบบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งในปัจจุบันและพฤติกรรมของผู้บริโภค รวมทั้งมีทัศนคติที่ดีกับทุกฝ่าย ที่ต่างต้องการให้มีกฎหมายกำกับดูและรกิจค้าปลีกค้าส่งที่เป็นธรรมกับทุกฝ่ายไม่เอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และต้องช่วยโชวห่วยได้อย่างจริงจัง เช่น การใช้เรื่องของการจัดโซนนิ่งที่ชัดเจนเข้ามาแทนที่อำนาจเบ็ดเสร็จของ กกค.ที่ไม่รู้ว่าจะมีการบิดเบือนการใช้อำนาจเมื่อไร ที่สำคัญต้องคำนึงถึงประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นหลัก หากตอบคำถามเหล่านี้ได้แล้ว ก็ไม่ต้องกังวลว่า ครม.จะไม่รับร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้อีก



ไม่มีความคิดเห็น: