วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2551

แม็คโคร ตอกย้ำ “มิตรแท้โชห่วย”



แม็คโคร ตอกย้ำ “มิตรแท้โชห่วย” เปิดตัวศูนย์โชห่วยแห่งแรกในประเทศไทย พร้อมผนึกพันธมิตร จัดงาน “ตลาดนัดโชห่วย” 20-22 ก.พ.นี้ ที่แม็คโครลาดพร้าว
วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2551 16:48 น.
ที่มา PRdd

นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในพิธีเปิด “ศูนย์มิตรแท้โชห่วย” แห่งแรกของไทย ดำเนินการโดยบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ความรู้ที่จำเป็นในการดำเนินธุรกิจแก่ร้านโชห่วย พร้อมกันนี้ ยังได้เปิดงาน “งานตลาดนัดโชห่วย” ครั้งที่ 1 โดยมี นางสุชาดา อิทธิจารุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ให้การต้อนรับ ณ แม็คโคร สาขาลาดพร้าวนางสุชาดา เปิดเผยว่า จากการที่แม็คโครดำเนินธุรกิจศูนย์ค้าส่งระบบสมาชิก มาเป็นระยะเวลา 19 ปี และได้รับการสนับสนุนจากลูกค้าสมาชิกที่เป็นผู้ประกอบการร้านโชห่วย ร้านค้าปลีกทั่วประเทศกว่า 400,000 ราย
บริษัทฯจึงมีนโยบายในการสนับสนุนให้ลูกค้าสมาชิกร้านโชห่วยให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน โดยได้จัดตั้ง“ศูนย์มิตรแท้โชห่วย” ขึ้นอย่างเป็นทางการ ณ แม็คโครสาขาลาดพร้าว เพื่อเป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อให้คำปรึกษาและแนะนำการทำธุรกิจแก่สมาชิกแม็คโครรวมทั้งผู้ประกอบการที่สนใจ ทั้งด้านการบริหารจัดการ การบริหารสต๊อกสินค้า และต้นทุน ฯลฯ นอกจากนี้ภายใน “ศูนย์มิตรแท้โชห่วย” ยังประกอบด้วยร้านค้าต้นแบบที่ได้รับการตกแต่งและจัดวาง สินค้า เพื่อเป็นตัวอย่างแก่ผู้ประกอบการสามารถนำแบบไปปรับปรุงใช้กับร้านของตนได้อีกด้วย “ในช่วงแรกนี้แม็คโครจะจัดเตรียมเจ้าหน้าที่เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกับร้านค้า ซึ่งจะทำให้เราได้ทราบถึงปัญหาและความต้องการของผู้ประกอบการ เพื่อนำข้อมูลไปจัดกิจกรรมให้เหมาะสมต่อไป”
นางสุชาดากล่าว พร้อมกันนี้ แม็คโครยังได้จัด “งานตลาดนัดโชห่วย” ครั้งที่ 1 ในระหว่างวันที่ 20 – 22 กุมภาพันธ์ศกนี้ ที่แม็คโครสาขาลาดพร้าวเช่นเดียวกัน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการร้านโชห่วยได้รับคำแนะนำอันเป็นประโยชน์จากหน่วยงานภาครัฐ-ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ทั้งด้านธุรกิจ การตลาด และการลงทุน นอกจากนี้ ในงานยังมีการจัดเสวนาหัวข้อที่น่าสนใจ อาทิ พลิกวิกฤตโชห่วยไทยให้รุ่ง มุ่งให้รวย, ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่โชห่วยไทยต้องปรับตัว? โดยแม็คโครร่วมกับศูนย์พัฒนาทุนมนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต, กฏหมายค้าปลีกควรรู้ โดย อาจารย์ ประมาณ เลืองวัฒนะวณิช, ฮวงจุ้ย โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ อาทิ อาจารย์วิศิษฏ์ เตชะเกษม อาจารย์มาศ เคหาสน์ธรรม,
การให้คำปรึกษาทางธุรกิจจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์, สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว) และ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจ ตลอดจนนิทรรศการและการจำลองบรรยากาศร้านค้าปลีกไทยในอดีต , กิจกรรมจากพันธมิตรทางการค้าและผู้ร่วมแสดงงานอีกมากมาย “งานตลาดนัดโชห่วย” นี้เหมาะสำหรับเจ้าของร้านโชห่วย ร้านค้าปลีก รวมถึงผู้ที่สนใจจะทำธุรกิจทางด้านนี้
ซึ่งผู้ประกอบการร้านโชห่วย และผู้สนใจสามารถเข้าชมงานและร่วมสัมมนา โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะแม็คโครต้องการตอบแทนสมาชิกร้านโชห่วย ร้านค้าปลีกที่สนับสนุนแม็คโครมาตลอดและตอบแทนสังคม” นางสุชาดากล่าวในที่สุด งานตลาดนัดโชห่วย จะจัดขึ้นที่แม็คโคร สาขาลาดพร้าว ตั้งแต่วันที่ 20 – 22 กุมภาพันธ์ 2551 ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ แม็คโคร 02-351-8888 ข้อมูลสำหรับกองบรรณาธิการ แม็คโคร เป็นศูนย์จำหน่ายสินค้าระบบสมาชิกในราคาขายส่งที่มีสาขาให้บริการอยู่ 41 สาขาทั่วประเทศ จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคให้กับลูกค้าที่เป็นสมาชิก ซึ่งเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กรวมทั้งร้านโชห่วย ร้านค้าปลีก และกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจด้านอาหารและบริการ ตลอดจนกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระและสถาบันต่างๆ

บิ๊กซีสร้างเฮ้าส์แบรนด์ตรา'บิ๊กซี'ทางเลือกใหม่ผู้บริโภค

จริยา จิราธิวัฒน์
บิ๊กซีดึงสินค้าเฮ้าส์แบรนด์กระตุ้นยอดขาย เปิดตัวสินค้าตรา “บิ๊กซี” เน้นสินค้าประจำวัน มีคุณภาพและราคาประหยัด มั่นใจยอดขายสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10%

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นางสาวจริยา จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บิ๊กซีให้ความสำคัญกับการนำเสนอผลิตภัณฑ์เฮ้าส์แบรนด์ ซึ่งถือว่าสอดรับกับกำลังซื้อผู้บริโภคในขณะนี้ โดยบิ๊กซีจะเน้นทำตลาดสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ที่มีคุณภาพและมีความหลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภค ซึ่งจะเป็นการขยายฐานของลูกค้าให้กว้างขึ้น ล่าสุด บิ๊กซีได้เปิดตัวสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ใหม่ ตรา “บิ๊กซี” เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภค

“ตลาดสินค้าเฮ้าส์แบรนด์มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้บิ๊กซีสนใจที่จะเพิ่มแบรนด์ใหม่ในตลาด เพื่อ ตอบสนองผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพและมีราคาย่อมเยา สำหรับสินค้าตราบิ๊กซีนี้ ได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิด ‘แบรนด์ที่ตอบสนองทุกรสนิยม ให้ความคุ้มค่า ในราคาประหยัด และเป็นสินค้าในชีวิตประจำวัน’ โดยจะเน้นที่คุณลักษณะของสินค้าที่มีคุณภาพดีได้มาตรฐาน ราคายุติธรรม และยังเป็นทางเลือกให้กับครอบครัวทันสมัยและสะท้อนให้เห็นถึงการฉลาดเลือกสินค้าของครอบครัวในยุคปัจจุบัน” นางสาวจริยา กล่าว

ในปี 2551 นี้ บิ๊กซีจะทยอยเปิดตัวสินค้าตรา ”บิ๊กซี” ให้ครอบคลุมทุกไลน์อย่างต่อเนื่องรวม 865 รายการ ประกอบด้วยสินค้าอุปโภค (Non-food) จำนวน 288 รายการหรือ 33% สินค้าบริโภค (Dry food) จำนวน 474 รายการหรือ 55% และสินค้าประเภทอาหารสด (Fresh food) จำนวน 103 รายการ หรือ 12% นอกจากนี้ ยังมีการผลิตสินค้านวัตกรรมใหม่เพื่อลดการใช้พลาสติก เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากวัสดุ ย่อยสลายง่ายและเสริมสร้างการดำเนินชีวิตอย่างถูกสุขลักษณะ ซึ่งจะเป็นทางเลือกสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม


“สิ่งที่แตกต่างจากเฮ้าส์แบรนด์เดิม คือ สินค้าตราบิ๊กซี จะมีการระบุ GDAs หรือ Guideline Daily Amount ซึ่งเป็นคำแนะนำจำนวนหน่วยบริโภคต่อวัน เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลโภชนาการของผลิตภัณฑ์ และนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในการบริโภค รวมทั้งมีระบบตรวจสอบด้านคุณภาพสินค้าและโรงงานผลิตอย่างเข้มงวดเพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพดีได้มาตรฐานเทียบเคียงกับสินค้าแบรนด์แนมในตลาดและมีเพคเกจจิ้งสวยงามและทันสมัย” นางสาวจริยากล่าว


โดยบิ๊กซีได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าตราบิ๊กซี ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อาทิ โปรโมชั่น “ซื้อ 2 ถูกลงอีก” การจัดบูธชงชิมและแจกสินค้าตัวอย่าง เพื่อให้ผู้บริโภคได้ทดลองรสชาติเพื่อความมั่นใจคุณภาพสินค้า นอกจากนี้ ยังมีสื่อสนับสนุนอื่นๆ เช่น สื่อในสโตร์ แบนเนอร์ โบว์ชัวร์ และสื่อโฆษณาในหนังสือพิมพ์ เป็นต้น

นางสาวจริยาเชื่อมั่นว่า สินค้าตราบิ๊กซีจะสามารถสร้างยอดขายได้ด้วยตัวของมันเอง เพราะเป็นสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอยู่แล้วและมีราคาถูกกว่าสินค้าแบรนด์เนมประมาณ 15% โดยราคาที่ ต่ำกว่าเป็นผลจากการไม่มีค่าการตลาด ขณะที่ยังคงคุณภาพตามมาตรฐานของบิ๊กซี คาดว่าการเปิดตัวสินค้าตราบิ๊กซีครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มยอดขายของสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ให้กับบิ๊กซีเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10%
ปัจจุบัน บิ๊กซีมีสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ประเภทอุปโภคบริโภค ตรา “เฟิร์สไพรซ์” และ “บิ๊กซี” และเสื้อผ้าและเครื่องใช้ในบ้าน ตรา “Only @ Big C” เป็นสัดส่วน 5% ของสินค้าทั้งหมดที่วางจำหน่ายที่บิ๊กซี ทุกสาขา


DISTRIBUTOR INSIGHT

DISTRIBOTOR INSIGHT
กนกกฤษณ์ บุญพิรุณ 1490301072
ณัฐพล ลิ่มมรกต 1490301320
ศรัญญา ตปนียางกรู 1490313085
จุตินันท์ เรือนมา 1490313093
สรารัตน์ เลิศปัญญาโรจน์ 1490330923
ปันรสี โกศลานันท์ 1490331756

พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งของกระทรวงพาณิชย์

ครม.ตีกลับร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งของกระทรวงพาณิชย์ ทำให้เกิดคำถามที่สำคัญขึ้น คือ ปัญหาที่แท้จริงของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้คืออะไร และมีผู้ประกอบการรายใหญ่ขัดขวางการออกร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จริงหรือไม่

สำหรับคำถามแรก ปัญหาที่ทำให้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ตีกลับ เมื่อพิจารณาตามข้อสังเกตของครม.แล้วจะพบว่ามีสาเหตุที่สำคัญ 3 ประการ คือ 1. อำนาจของคณะกรรมการกลางกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง (กกต.)มีอำนาจมากเกินไป 2. สาระของร่าง พ.ร.บ.นี้ไม่ช่วยแก้ปัญหาให้แก่โชวห่วยได้อย่างแท้จริง และ 3. ผู้บริโภคไม่ได้รับผลประโยชน์ ซึ่งเหตุผลทั้ง 3 ข้อนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เนื่องจากแรกเริ่มเดิมทีนั้นกรมการค้าภายในได้ประกาศถึงสาเหตุที่ทำให้ต้องมี พ.ร.บ.ฉบับนี้ขึ้นมาเพื่อปกป้องโชวห่วยของไทยให้อยู่รอดได้ โดยใช้หลักการสำคัญ คือ ปิดกั้นการขยายตัวของร้านค้าปลีกสมัยใหม่หรือโมเดิร์นเทรดเสีย
ในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้บัญญัติในเรื่องของอำนาจ กกค.ไว้ในมาตรา 7-20 โดยระบุถึงโครงสร้าง กกค.และอำนาจหน้าที่ ประเด็นที่เป็นปัญหา คือ โครงสร้างของ กกค.ที่คณะกรรมการยกร่างระบุให้ผู้แทนจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสมาคมผู้ผลิต ขณะที่การให้ข่าวทางกรมการค้าภายในจะนำเสนอตลอดเวลาว่า โครงสร้างของ กกค.นั้น เป็นไปเพื่อปลอดการแทรกแซงของนักการเมือง แต่ไม่เคยเอ่ยถึงการหมกเม็ดด้วยการเอาตัวแทนของผุ้ผลิตมาไว้ใน กกค.เลย ซึ่งเมื่อรวมกับอำนาจที่ กกค.มีอย่างมหาศาลในมือแล้ว จะส่งผลให้ผู้ผลิตสามารถคุมตลาด และราคาสินค้าได้อย่างเบ็ดเสร็จ ด้วยการมีอำนาจกำหนดว่า ร้านโมเดิร์นเทรดจะเปิดที่ไหนได้หรือไม่ได้ ซึ่งแทนที่จะเป็นการช่วยโชวห่วยตามที่กล่าวอ้าง แต่กลับจะเป็นการซ้ำเติมโชวห่วยให้ตกอยู่ใต้อิทธิพลของซัปพลายเออร์มากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ การอ้างความอยู่รอดของโชวห่วยไทยว่าขึ้นอยู่กับการมีอยู่ของโมเดิร์นเทรดคือ ความผิดพลาดที่สำคัญของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เพราะกระบวนการที่สร้างขึ้นตั้งแต่การเข้ามาร้องเรียนของกลุ่มม็อบที่อ้างตัวว่าเป็นผู้แทนของโชวห่วย ทั้งๆ ที่ผู้นำขบวน คือ ผู้ประกอบธุรกิจค้าส่งหรือยี่ปั๊วขนาดใหญ่ของภาคกลางและภาคอีสาน ที่มีกิจการค้าส่งสินค้าครอบคลุมพื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งของอีสานตอนล่าง รวมทั้งการจัดม็อบเข้ามากดดันกระทรวงพาณิชย์หลายต่อหลายครั้งว่าโชวห่วยทั้งหมดจะต้องปิดกิจการลง หากไม่ออกกฎหมายมาควบคุมโมเดิร์นเทรด

แต่จากการศึกษากระบวนการทำธุรกิจค้าปลีกค้าส่งของไทยในปัจจุบัน(จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า ในความเป็นจริงแล้ว ในเครือข่ายธุรกิจค้าปลีกค้าส่งของไทย ไม่ได้มีความขัดแย้งที่รุนแรงเลย เนื่องจากกระบวนการค้าปลีกค้าส่งของไทยนั้น เริ่มจากผู้ผลิตส่งสินค้าให้กับซัปพลายเออร์ จากนั้นจึงส่งผ่านสู่ผู้ค้าส่งรายใหญ่หรือยี่ปั๊ว ก่อนที่ร้านค้าส่งขนาดเล็กหรือโชวห่วยจะมารับสินค้าไปอีกทอดหนึ่ง แต่เมื่อมีร้านโมเดิร์นเทรดเข้ามาในประเทศไทย เมื่อปี 2540 เพื่อแก้วิกฤตเศรษฐกิจในช่วงนั้น ระบบการไหลเวียนของสินค้าก็เปลี่ยนไป เพราะร้านโมเดิร์นเทรดเป็นผู้สั่งสินค้าจากซัปพลายเออร์โดยตรง ซึ่งจำนวนที่สั่งมากขึ้นเท่าไร อำนาจการต่อรองราคาก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย และสินค้าจะถึงมือผู้บริโภคโดยตรงโดยไม่ผ่านยี่ปั๊ว ซาปั๊ว ทำให้ราคาสินค้าลดลงโดยปริยาย ซึ่งจากระบบที่ว่านี้ ทำให้สังคมทั่วไปเข้าใจว่าเมื่อมีโมเดิร์นเทรดเข้ามาในไทย โดยเฉพาะเมื่อขยายสาขามากๆ จะทำให้ยี่ปั๊วและโชวห่วยต้องล้มหายตายจากไป เพราะโมเดิร์นเทรดสั่งสินค้าจากซัปพลายเออร์โดยตรง และเป็นที่มาของข้ออ้างของกรมการค้าภายในในการผลักดันให้มีร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ขึ้นเพื่อควบคุมการขยายสาขาของโมเดิร์นเทรดอย่างเด็ดขาด แต่จากการศึกษาของจุฬาลงกรณ์ครั้งนี้พบว่าข้อเท็จจริงแล้ว ร้านโมเดิร์นเทรดและยี่ปั๊วรวมทั้งโชวห่วย ต่างได้ประโยชน์จากโมเดิร์นเทรดทั้งสิ้น กล่าวคือ ในการค้าที่เป็นจริงยี่ปั๊วหรือโชวห่วยไม่ได้สั่งสินค้าจากซัปพลายเออร์เพียงอย่างเดียว แต่ยี่ปั๊ว หรือโชวห่วย จะรับสินค้าจากโมเดิร์นเทรดมาจำหน่ายด้วย เนื่องจากส่วนต่างของราคาที่สามารถทำกำไรได้ ซึ่งผู้ค้าที่ทำหน้าที่สั่งสินค้าจากโมเดิร์นเทรดเพื่อไปจำหน่ายให้กับยี่ปั๊วหรือโชวห่วยนี้ ในวงการค้าปลีกจะเรียกว่า "มือปืน" ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความขัดแย้งระหว่างโมเดิร์นเทรดกับยี่ปั๊วหรือโชวห่วยไม่ได้รุนแรงอย่างที่ถูกวาดภาพเอาไว้เพราะทั้ง 2 ฝ่ายสามารถแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันได้
แต่ผู้ที่เสียผลประโยชน์มากที่สุดในกระบวนการค้าปลีกยุคปัจจุบัน คือ ซัปพลายเออร์ที่ต้องสูญเสียอำนาจต่อรองในตลาดไป เพราะผู้สั่งซื้อสินค้าหลักคือโมเดิร์นเทรด มีความสามารถในการสั่งซื้อสินค้าได้จำนวนมาก ทำให้อำนาจในการต่อรองยิ่งสูงขึ้นมาก และสินค้าจะยิ่งถูกลง

นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำไมต้องมีการผลักดันให้รัฐบาลออกกฎหมายเพื่อควบคุมการขยายสาขาของโมเดิร์นเทรด เพราะยิ่งมีสาขามาก ยิ่งทำให้อำนาจในการสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น ในทางกลับกันก็ยิ่งทำให้อำนาจในการกำหนดราคาสินค้าของซัปพลายเออร์ลดลงเช่นเดียวกัน ขณะที่ยี่ปั๊วหรือโชวห่วย ที่ทำธุรกิจโดยอาศัย "มือปืน" ก็ต้องย้อนกลับไปหาซัปพลายเออร์เหมือนเดิม หากการจำกัดการขยายตัวของโมเดิร์นเทรดทำได้จริง และเมื่อนั้น อำนาจต่อรองในการกำหนดราคาสินค้าในตลาดของซัปพลายเออร์ก็กลับมาเหมือนเดิม และผลที่จะตามมาเมื่อซัปพลายเออร์มีอำนาจเหนือตลาดก็คือ สินค้าขาดตลาด เพื่อบีบให้รัฐบาลอนุมัติให้ขึ้นราคาสินค้าที่จำเป็นอยู่เสมอ
และเมื่อเจตนารมณ์ของร่างพ.ร.บ.ผิดเพี้ยนไปตั้งแต่ต้นแล้ว ทใหบทบัญญัติต่างๆ ที่มีอยู่ในร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่สามารถตอบปัญหาที่ต้องการแก้ไขได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโชวห่วยให้มีศักยภาพในการแข่งขันเพิ่มขึ้น เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้อยู่ที่การจำกัดขนาดของโมเดิร์นเทรด เพื่อให้ซัปพลายเออร์กลับมามีอำนาจเหนือตลาดเช่นเดิม ทำให้ไม่เห็นความสำคัญอย่างจริงจังในการพัฒนาโชวห่วย เพราะเป้าหมายหลักก็คือใช้โชวห่วยเป็นทั้งเครื่องมือและเหยื่อของการครองอำนาจเหนือตลาดนั่นเอง

ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งของ ครม. คือผู้บริโภคได้ประโยชน์อะไรกับร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ การตอบคำถามนี้อยู่ที่การหาความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค หรือศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบัน ซึ่งประเด็นนี้ ดร.อัทธิ พิศาลวณิช นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ให้คำตอบไว้แล้วว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว การที่โมเดิร์นเทรดได้รับความนิยม เพราะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ เช่น ความสะดวกในการเดินทาง ที่จอดรถ จำนวนสินค้าที่มีให้เลือกหลากหลาย ราคาสินค้าที่เหมาะสม และสะดวกในการซื้อสินค้าครั้งละจำนวนมาก ปัจจัยเหล่านี้ ร้านโชวห่วยทั่วไปไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในลักษณะนี้ได้ ดังนั้นแท้ที่จริงแล้ว ผู้บริโภคที่เข้าร้านโมเดิร์นเทรดกับผู้บริโภคที่เข้าร้านโชวห่วย จะเป็นผู้บริโภคคนละกลุ่มกัน หรือหากเป็นกลุ่มเดียวกัน ก็มีเป้าประสงค์ที่ต่างกัน เพราะลักษระของร้านไม่สามารถทดแทนกันได้ ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะมีกฎหมายที่เข้มงวดที่สุด จนทำให้โมเดิร์นเทรดไม่สามารถประกอบธุรกิจอยู่ได้ ต้องล้มหายตายจากไปหมด ก้ไม่ได้หมายความว่าผู้บริโภคจะหันหลังกลับไปซื้อของที่โชวห่วยทั้งหมด เพราะรูปแบบของร้านโชวห่วยไม่สามารถตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันได้นั่นเอง ทางออกที่ดีที่สุด คือ ร้านโชวห่วยต้องพัฒนาตัวเองให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคด้วย
และในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบันนั้น ส่งที่ต้องตระหนัก คือธุรกิจโมเดิร์นเทรดนั้น มีสัดส่วนถึง 14% ของ GDP ของประเทศ และมีการจ้างงานถึง 15% ของการจ้างงานทั้งหมด หรือก่อให้เกิดการจ้างงานถึง 350,000 คน รวมทั้งในระบบการค้าของโมเดิร์นเทรดนั้นคู่ค้าหรือผู้ส่งสินค้าเข้ามาจำหน่ายมีนวนมากถึง 12,000 ราย และกว่าครึ่งในนั้นคือ SME นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องการลดค่าครองชีพให้แก่ผู้บริโภค และลดเงินเฟ้ออีกด้วย
สิ่งที่ต้องตระหนัก คือ ขณะนี้บรรยากาศทางเศรษฐกิจของไทยอยู่ในสภาพที่ไม่มีการลงทุน ทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่น ส่งออกไม่ได้ และรัฐพลาดเป้าการเก็บภาษี เพราะการบริโภคลดน้อยลง หากรัฐบาลออก พ.ร.บ.มาในตอนนี้ก็จะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อ GDP และภาคธุรกิจค้าปลีกค้าส่งทั้งภาค เพราะถ้าโมเดิร์นเทรดลงทุนขยายสาขาไม่ได้ ก็จะไม่มีการลงทุนภาคธุรกิจ ไม่มีการจ้างงานเพิ่ม ไม่มีการลงทุนเพิ่มจาก SME ต่างๆ ที่เป็นซัปพลายเออร์ ไม่มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เพราะผู้บริโภคที่ใช้จ่ายน้อยลงอยู่แล้ว ถูกจำกัดการใช้จ่ายมากขึ้น ค่าครองชีพและอัตราเงินเฟ้อก็จะเพิ่มสูงขึ้น
ทางออกของร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ คือ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จะต้องยอมรับความจริงของระบบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งในปัจจุบันและพฤติกรรมของผู้บริโภค รวมทั้งมีทัศนคติที่ดีกับทุกฝ่าย ที่ต่างต้องการให้มีกฎหมายกำกับดูและรกิจค้าปลีกค้าส่งที่เป็นธรรมกับทุกฝ่ายไม่เอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และต้องช่วยโชวห่วยได้อย่างจริงจัง เช่น การใช้เรื่องของการจัดโซนนิ่งที่ชัดเจนเข้ามาแทนที่อำนาจเบ็ดเสร็จของ กกค.ที่ไม่รู้ว่าจะมีการบิดเบือนการใช้อำนาจเมื่อไร ที่สำคัญต้องคำนึงถึงประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นหลัก หากตอบคำถามเหล่านี้ได้แล้ว ก็ไม่ต้องกังวลว่า ครม.จะไม่รับร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้อีก



ปัญหาของ DITRIBUTOR

เชื่อว่าคงมีหลายท่านเคยอ่านบทความที่เกี่ยวกับการขยายตัวของห้างโลตัสในประเทศไทย บางท่านอาจเริ่มสังเกตเห็นว่าในต่างจังหวัด เกือบทุกจังหวัดมีโลตัสไปเปิดแล้ว ซึ่งชาวบ้านบริเวณนั้นคงจะทราบถึงผลกระทบเป็นอย่างดีว่า ร้านค้าต่างๆได้รับผลกระทบเป็นอันมาก ซึ่งขณะนี้หมู่บ้านของดิฉัน ซึ่งเป็นอำเภอเล็กๆในจังหวัดลพบุรี ได้มีโลตัสมาดำเนินการก่อสร้างอยู่ (ดิฉันอยู่อำเภอโคกสำโรง) นอกจากอำเภอของดิฉันแล้ว อำเภอใกล้เคียงก็จะมีการก่อสร้างเช่นกัน แม้ชาวบ้านจะรวมตัวประท้วงการก่อสร้างอย่างไร อบต.ก็ยังคงเซ็นต์อนุญาตให้มีการก่อสร้างต่อไปได้ พวกเราไม่อาจสู้อำนาจเงินของนายทุนได้ หากโลตัสเปิดให้บริการจริงๆพวกเราชาวบ้านคงต้องปิดกิจการเป็นแน่ เพราะอย่างที่ทุกท่านทราบว่าห้างโลตัสจำหน่ายสินค้าหลายอย่าง เช่น เสื้อผ้า อาหาร และสินค้าอุปโภค ซึ่งพูดง่ายๆก็ คือ ทั้งตลาดนั้นเอง (รวมถึงแม่ค้าในตลาดสดด้วย) ถ้าจะพูดถึงในเรื่องการแข่งขัน พวกเราชาวบ้านคงไม่สามารถแข่งเรื่อง ราคา หรือบริการได้ เพราะชาวบ้านมีเงินทุนจำกัด พวกเราค้าขายก็แค่มีกำไรนิดหน่อย พอเลี้ยงชีพ เราไม่มีเงินไปซื้อสินค้าจำนวนมากมากักตุน หรือเพื่อให้ได้ราคาพิเศษได้ เราไม่รู้จริงๆว่าถ้าโลตัสเปิดให้บริการแล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป จะย้ายไปอยู่ที่ไหน เพราะพวกเราคิดว่า อำเภอของเราเป็นอำเภอเล็กๆ ไม่น่าจะมาเปิดได้ แต่โลตัสก็ยังมา ถ้ายังนั้นไม่นานอำเภออื่นๆในประเทศไทยก็คงเป็นเช่นเดียวกัน และหลังจากนั้นคนในชุมชน ก็คงต้องมารับจ้างในโลตัสได้เงินเพียงเล็กน้อยสำหรับเลี้ยงดูครอบครัว ส่วนพวกนายทุนก็ขนเงินของคนไทยกลับประเทศไป และอีกไม่นานก็คงสามารถกำหนดราคาสินค้าต่างๆภายในประเทศไทยได้เป็นแน่ ดิฉันอยากเรียนถามท่านผู้รู้ว่าควรทำอย่างไรดีเพื่อขัดขวางการก่อสร้าง ได้โปรดเถอะค่ะ ช่วยให้คำปรึกษาด้วย เพราะดิฉันไม่ทราบต้องทำอย่างไรจริงๆ

ที่มา
http://www.torakhong.org/kratoo.php?t=10387

..~ DISTRIBUTOR ~..




สถาบันการค้าส่ง (Wholesaling Institution)

การค้าส่ง หมายถึง กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้าหรือบริการให้กับบุคคลหรือสถาบันซึ่งซื้อไป
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำส่งสินค้าหรือบริการนั้นไปขายต่อหรือนำไปใช้ในธุรกิจ

ประเภทของสถาบันการค้าส่ง


กลุ่มที่ 1 พ่อค้าขายส่ง (Merchant Wholesalers)

1.1 ผู้ค้าส่งที่ให้บริการอย่างเต็มที่ (Full-service Wholesalers)ผู้ค้าส่งประเภทนี้จะให้การบริการ 3 ประการคือ ช่วยเก็บรักษาสินค้า ให้สินเชื่อส่งมอบสินค้าและให้ความช่วยเหลือในด้านการบริหาร มีอยู่ 2 ประเภท คือ ผู้ค้าส่งและผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรม

1.1.1 ผู้ค้าส่ง (Wholesale Merchants)ผู้ค้าส่งประเภทนี้ส่วนใหญ่จะขายสินค้าให้ผู้ค้าปลีก โดยจัดให้มีการบริการอย่างเต็มที่ แบ่งเป็น

1. ผู้ส่งสินค้าทั่วไป (General Merchandise Wholesalers) จะมีสินค้าอยู่หลายชนิด


2. ผู้ค้าส่งสายผลิตภัณฑ์เดียว (Single-line Wholesalers) จะมีสินค้าอยู่เพียงสายผลิตภัณฑ์เดียว หรือ 2 สายผลิตภัณฑ์


3. ผู้ค้าส่งสินค้าเฉพาะอย่าง (Specialty Wholesalers) เป็นผู้ค้าส่งที่มีความชำนาญในการจำหน่ายสินค้า เฉพาะบางอย่างเท่านั้น

1.1.2 ผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรม (Industrial Distributors) เป็นผู้ค้าส่งซึ่งขายสินค้าให้กับผู้ผลิตมากกว่าที่จะขายให้กับผู้ค้าปลีก

1.2 ผู้ค้าส่งที่ให้การบริการอย่างจำกัด (Limited-service Wholesalers) ผู้ค้าส่งประเภทนี้จะให้การบริการแก่ผู้จัดการจำหน่ายและลูกค้าเพียงบางอย่างเท่านั้น มี 6 ประเภทคือ

1.2.1 ผู้ค้าส่งแบบซื้อสดและรับไปเอง (Cash and Carry Wholesalers) จำหน่ายแก่ผู้ค้าปลีกเป็นเงินสด โดยให้ลูกค้าขนสินค้าไปเอง


1.2.2 ผู้ค้าส่งโดยรถบรรทุก (Truck Wholesalers or Truck Jobbers) ทำหน้าที่ขายส่งและส่งมอบสินค้าประเภทกึ่งเสียง่าย ขายเฉพาะเงินสดแก่ร้านขายของชำ


1.2.3 ผู้ค้าส่งโดยสินค้าไม่ผ่านมือ (Drop Shipper or Desk Jobber) ผู้ค้าส่งประเภทนี้จะไม่มีสินค้าเก็บไว้ เมื่อเขาแสวงหาคำสั่งซื้อได้เขาก็จะไป หาผู้ผลิตซึ่งจะเป็นผู้ส่งสินค้าไปให้ลูกค้าโดยตรง


1.2.4 ผู้ค้าส่งพร้อมจัดการ (Rack Jobbers) ผู้ค้าส่งยังคงเป็นเจ้าของสินค้าและ จะได้รับเงินค่าสินค้าเมื่อผู้ค้าปลีกขายได้เท่านั้น ผู้ค้าส่งจะเป็นผู้กำหนดราคา และจัดสินค้าในชั้นวางของให้ รวมถึงการแตกต่างชั้นวางสินค้าด้วย


1.2.5 สหกรณ์ผู้ผลิต (Producer’s Cooperatives)


1.2.6 ผู้ค้าส่งทางไปรษณีย์ (Mail Order Wholesalers)

กลุ่มที่ 2 ตัวแทนจำหน่ายและนายหน้า (Agents and Brokers)จะได้รับค่านายหน้า (Commission) เป็นการตอบแทน

2.1 ตัวแทนจำหน่าย (Agent) จะไม่มีกรรมสิทธิ์ในสินค้าที่ตนจำหน่ายอยู่ ได้แก่ ตัวแทนผู้ผลิต และตัวแทนขาย
2.1.1 ตัวแทนผู้ผลิต (Manufacturer’s Agent) มีลักษณะสำคัญดังนี้
1. มีลักษณะเสมือนสาขาหรือสำนักงานขายของผู้ผลิตในการที่จะทำหน้าที่ จำหน่ายผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตทั้งหมด หรือแต่เพียงบางส่วน

2. ทำหน้าที่จำหน่ายสินค้าให้ภายใต้ขอบเขตที่ระบุไว้ในข้อตกลง

3. อาจรับสินค้าจากผู้ผลิตรายอื่น ๆ มาจำหน่ายได้ แต่จะต้องไม่ใช่เป็นสินค้าของคู่แข่งขัน

4. มีความเป็นอิสระ ไม่อยู่ในฐานะลูกจ้างของผู้ผลิต

5. ไม่มีสิทธิในการกำหนดราคาและนโยบายของผู้ผลิต

6.ไม่มีกรรมสิทธิ์ในตัวสินค้าแต่อาจครอบครองสินค้าและจัดการเกี่ยวกับสินค้านั้นได้
2.1.2 ตัวแทนขาย (Selling Agent) มีลักษณะ
1. เป็นตัวแทนการขายสินค้าประเภทนั้นแต่ผู้เดียว

2. มีอำนาจในการตั้งราคา กำหนดเงื่อนไข และหน้าที่อื่น ๆ ทางการตลาดแทน บริษัทผู้ผลิต

3. ไม่มีกรรมสิทธิ์ในตัวสินค้า แต่อาจครอบครองสินค้าและจัดการขนส่งสินค้าได้
2.2 นายหน้า (Broker) ทำหน้าที่นำผู้ซื้อ และผู้ขายมาพบกัน ไม่มีกรรมสิทธิ์และไม่ครอบครองสินค้านั้นเอาไว้ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการจัดการสินค้า และจะไม่ปฏิบัติงานให้กับผู้ขายเป็นถาวร


กลุ่มที่ 3 สาขาและสำนักงานของผู้ผลิตและของผู้ค้าปลีก (Manufacturers and Retailers Branches and Offices)
3.1 สาขาและสำนักงานขายสินค้า (Sales Branches and Offices) เป็นการดำเนินงานของผู้ขายในการกระจายตัวผลิตภัณฑ์

3.2 สำนักงานจัดซื้อ (Purchasing Offices) เป็นการดำเนินงานของผู้ซื้อ ในการหาซื้อผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ


กลุ่มที่ 4 ผู้ค้าส่งอื่น ๆ (Miscellaneous Wholesalers)
4.1 ผู้รวบรวมสินค้าทางการเกษตร (Agricultural Assemblers)

4.2 สถานีน้ำมันและโรงเก็บน้ำมัน (Petroleum Bulk Plants and Terminals)


สถาบันการค้าปลีก (Retailing Institution)


การแบ่งประเภทของสถาบันการค้าปลีกสามารถแบ่งได้ด้วยเกณฑ์ 4 ประการ ดังนี้



1. พิจารณาสายผลิตภัณฑ์ที่จำหน่าย (Product Line Sold)

2. พิจารณาจากการให้ความสำคัญต่อราคาสินค้า (Relative Price Emphasis)

3. พิจารณาจากลักษณะการประกอบธุรกิจ (Nature of Business Premises)

4. พิจารณาจากการควบคุมกิจการ (Control of Outlets)


1. พิจารณาจากสายผลิตภัณฑ์ที่จำหน่าย


1.1 ร้านขายสินค้าเฉพาะอย่าง (Specialty Store) ร้านค้าประเภทนี้มักจะมี สินค้าเพียงสายผลิตภัณฑ์เดียว แต่ละจำนวนสินค้าในสายผลิตภัณฑ์นั้นจะมีอยู่มาก

1.2 ร้านสรรพสินค้า (Department Store) ร้านสรรพสินค้าเป็นร้านค้าปลีกขนาดใหญ่มีสินค้าจำหน่ายมากมายหลายชนิด โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็นแผนก ๆ

1.3 ร้านสรรพาหาร (Supermarkets) เป็นร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ ซึ่งให้ลูกค้า บริการตนเอง สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นประเภทอาหาร และของใช้ประจำวัน

1.4 ร้านสินค้าสะดวกซื้อ (Convenience Store) ตั้งอยู่ใกล้บริเวณที่อยู่อาศัย ของประชาชน เปิดจำหน่ายสินค้าทุกวัน โดยมีสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภค อยู่เฉพาะบางอย่าง


2. พิจารณาจากการให้ความสำคัญต่อราคาสินค้า


2.1 ร้านขายของถูกหรือร้านขายสินค้าต่ำกว่าราคาตลาด (Discount Store) ร้านขายของถูกจะขายสินค้าได้มาตรฐานในราคาที่ถูกกว่าร้านทั่วไป

2.2 ร้านคลังสินค้า (Warehouse Store) ให้บริการแก่ลูกค้าเพียงเล็กน้อย จะให้ส่วนลดกับลูกค้าในกรณีที่ลูกค้าซื้อสินค้าแล้วขนไปเอง




3. พิจารณาจากลักษณะการประกอบธุรกิจ


3.1 การขายปลีกทางโทรศัพท์และทางไปรษณีย์ (Mail and Telephone Order Retailing) 3.2 การขายโดยเครื่อง (Automatic Vending or Automatic Merchandising or Robot Retailing)3.3 การขายตามบ้าน (Door to Door retailing หรือ House to House Retailing)


4. พิจารณาจากการควบคุมกิจการ


4.1 ร้านอิสระ (Independent Store) ร้านค้าปลีกทั่ว ๆ ไป ซึ่งเจ้าของดำเนินงานด้วยตนเอง โดยไม่อยู่ในเครือของธุรกิจอื่น ๆ

4.2 ร้านค้าแบบลูกโซ่ (Chain Store) เป็นร้านขายปลีก ซึ่งมีตั้งแต่ 2 ร้าน ขึ้นไปมีเจ้าของและผู้ควบคุมกิจการเป็นคนเดียวกัน

4.3 ร้านค้าลูกโซ่แบบสมัครใจและสหกรณ์ผู้ค้าปลีก (Voluntary Chain and Retailer Cooperative)
4.3.1 ร้านค้าลูกโซ่แบบสมัครใจ (Voluntary Chain) เป็นกลุ่มของร้านค้าอิสระซึ่งได้ รับการสนับสนุนจากผู้ขายส่งในการซื้อสินค้าและวางแผนเกี่ยวกับสินค้า

4.3.2 สหกรณ์ผู้ค้าปลีก (Retailer Cooperative) เป็นข้อตกลงรวมกันระหว่างผู้ค้าปลีกอิสระเพื่อตั้งศูนย์รับซื้อสินค้า
4.4 สหกรณ์ผู้บริโภค (Consumer Cooperative) เป็นร้านค้าปลีกซึ่งเจ้าของ ได้แก่ ผู้บริโภคที่เป็นสมาชิก

4.5 ร้านค้าที่ได้รับสิทธิ์ทางการค้า (Franchise Store) เป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่าง ผู้ให้สิทธิ์ทางการค้า (Franchiser) ซึ่งอาจจะเป็นผู้ผลิตหรือผู้ค้าส่งก็ได้กับผู้ได้รับสิทธิ์ ทางการค้า (Franchisee)


ช่องทางการจัดจำหน่าย (Channel of Distribution)


เส้นทางที่สินค้าจะเปลี่ยนมือหรือเปลี่ยนความเป็นเจ้าของจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภค แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ

ก. ช่องทางการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค (Distribution of Consumer Goods)

ข. ช่องทางการจำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรม. (Distribution of Industrial Goods)


ก. ช่องทางการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค โดยทั่วไปมีอยู่ 5 แนวทาง

แนวทางที่ 1 (ผู้ผลิต – ผู้บริโภค)

แนวทางที่ 2 (ผู้ผลิต – ผู้ค้าปลีก – ผู้บริโภค)

แนวทางที่ 3 (ผู้ผลิต – ผู้ค้าส่ง – ผู้ค้าปลีก – ผู้บริโภค)

แนวทางที่ 4 (ผู้ผลิต – ตัวแทน – ผู้ค้าปลีก – ผู้บริโภค)

แนวทางที่ 5 (ผู้ผลิต – ตัวแทน – ผู้ค้าส่ง – ผู้ค้าปลีก – ผู้บริโภค)


ข. ช่องทางการจำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรม โดยทั่วไปมีอยู่ 4 แนวทาง


แนวทางที่ 1 (ผู้ผลิต – ผู้ใช้ทางอุตสาหกรรม)

แนวทางที่ 2 (ผู้ผลิต – ผู้จัดจำหน่ายอุตสาหกรรม – ผู้ใช้ทางอุตสาหกรรม)

แนวทางที่ 3 (ผู้ผลิต – ตัวแทน – ผู้ใช้ทางอุตสาหกรรม)

แนวทางที่ 4 (ผู้ผลิต – ตัวแทน – ผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรม – ผู้ใช้ทางอุตสาหกรรม)


ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อโครงสร้างของช่องทางการจัดจำหน่าย


1. ตัวผลิตภัณฑ์ อันได้แก่


1.1 มูลค่าของผลิตภัณฑ์ ถ้าเป็นสินค้าที่มีราคาสูง ช่องทางการจัดจำหน่ายก็ควรจะสั้น แต่ถ้าเป็นสินค้าที่มีราคาต่ำ บริษัทอาจจะใช้ช่องทางการจัดจำหน่ายยาวได้

1.2 สภาพของผลิตภัณฑ์ สินค้าที่เสียง่ายหรือเป็นสินค้าที่ล้าสมัยเร็วได้แก่ สินค้าประเภทแฟชั่น บริษัทก็ควรจะเลือกช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าสั้นเพื่อให้สินค้าถึงมือผู้บริโภคโดยเร็ว

1.3 ขนาดของผลิตภัณฑ์ สินค้าที่มีขนาดใหญ่ มีต้นทุนในการเก็บรักษาและ การขนส่งสูง บริษัทก็ควรจะเลือกช่องทางการจำหน่ายสั้น1.4 การบริการ สินค้าที่ต้องการการบริการมาก เช่น เครื่องปรับอากาศ บริษัทควรจะเลือกช่องทางการจำหน่ายสั้นหรือจำหน่ายเอง


2. สภาพของตลาด
ถ้าลูกค้าอยู่รวมกันในอาณาบริเวณใดบริเวณหนึ่ง เช่น ตลาดอุตสาหกรรม ผู้ผลิตก็อาจจะจัดจำหน่ายเองได้

แต่ถ้าลูกค้าอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย เช่น ตลาดผู้บริโภค ผู้ผลิตก็มีความจำเป็นจะต้องจำหน่ายผ่านพ่อค้าปลีกหรือพ่อค้าส่ง


3. คู่แข่งขัน

บริษัทจะต้องพิจารณาว่าบริษัทควรจะใช้ช่องทางการจัดจำหน่ายที่คู่แข่งขันใช้อยู่หรือใช้ช่อง ทางการจัดจำหน่ายที่แตกต่างกันออกไป

การใช้ช่องทางการจัดจำหน่ายที่คู่แข่งขัน ใช้อยู่แล้วมีข้อดีที่ว่าสามารถกระทำได้ง่ายและ ผู้บริโภคก็ยอมรับอยู่แล้ว แต่ก็มีข้อเสีย คือ

ช่องทางการจัดจำหน่ายเหล่านั้นมักจะมีสินค้าเป็นจำนวนมาก ดังนั้นถ้าบริษัทต้องการ จะหลีกเลี่ยงสภาพทางการแข่งขัน

บริษัทก็จะหันไปใช้ช่องทางการจัดจำหน่ายแบบอื่นแทน


4. คนกลาง

4.1 คนกลางสามารถให้บริการได้หรือไม่

4.2 คนกลางมีความสามารถหาตลาด หรือลูกค้าได้เพิ่มเติมอีกหรือไม่

4.3 คนกลางสามารถจำหน่ายสินค้าได้มากน้อยเพียงไร

4.4 ประวัติการทำงานของคนกลางเป็นอย่างไร

4.5 คนกลางได้ให้ความร่วมมือในการจัดจำหน่ายมากน้อยเพียงใด

4.6 คนกลางมีข้อเรียกร้องอะไร หรือไม่


5. ตัวบริษัท ได้แก่


5.1 ขนาดของธุรกิจ โดยทั่วไปธุรกิจขนาดใหญ่สามารถจะเลือกใช้ช่องทาง การจำหน่ายสั้นกว่าธุรกิจขนาดเล็กได้

5.2 ชื่อเสียงของธุรกิจ ธุรกิจที่มีชื่อเสียงดีย่อมมีโอกาสที่จะเลือกช่องทาง การจำหน่ายที่ดีกว่าธุรกิจที่ไม่มีใครรู้จัก

5.3 ฐานะทางการเงิน ธุรกิจที่มีฐานะทางการเงินมั่นคงย่อมจะจัดจำหน่าย สินค้าโดยตรงสู่ผู้บริโภคได้

5.4 ประสบการณ์และความสามารถของฝ่ายบริหาร บริษัทที่มีผู้บริหาร ที่มีประสบการณ์และความสามารถสูง อาจจะใช้ช่องทางการจำหน่ายสั้น โดยจำหน่ายเองได้

5.5 วัตถุประสงค์และนโยบายของบริษัท บริษัทที่มีนโยบายต้องการจะเข้าควบคุมตลาดด้วยตนเอง ก็ควรจะเลือกช่องทางการจำหน่ายสั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้


6. สภาพแวดล้อม

สภาพทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บริษัทต้องเลือกช่องทางการจัดจำหน่าย เพื่อจะลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ลง

ทำให้บริษัทสามารถจำหน่ายสินค้าในราคาต่ำแก่ผู้บริโภคได้